บทที่ 8 ร้ายกาจที่สุด (25%)

ตอน ม.5 เทอม 1

ขึ้นปีการศึกษาใหม่คิริมาก็ได้ย้ายโรงเรียนสมใจ โรงเรียนใหม่และสังคมใหม่ทำให้คนที่เพิ่งย้ายมาต้องปรับตัวพอสมควร หากแต่ไม่ยากเกินความสามารถ จะแย่หน่อยก็ตรงที่เธอไม่มีเพื่อนเท่าไร ไม่ค่อยมีใครอยากคุยกับเธอ ด้วยความที่เธอเป็นคนพูดน้อยทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าหา จะมีก็แต่ตุ๊ดยักษ์ประจำห้องอย่างศุภชัยหรือเอวาที่เดินเข้ามาพูดคุยกับเธอ คอยช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จนในที่สุดทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในระยะเวลาเพียงไม่นาน และอีกฝ่ายก็ทำให้คิริมารู้ว่าโลกนี้ไม่โหดร้ายจนเกินไป อย่างน้อยก็ยังมีชายใจหญิงอย่างศุภชัยคอยอยู่เคียงข้างในวันที่เธอไม่เหลือใคร คอยปลอบใจในวันที่เธออ่อนแอจนมีน้ำตา

ทุกอย่างมันกำลังจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว หากว่าในช่วงพักเที่ยงของวันหนึ่งจะไม่มีใครคนบางคนเดินเข้ามาผลักอกเธอในจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าห้องน้ำ พอเงยหน้าขึ้นก็ปรากฏว่าเป็นพิริยา ยังไม่ทันจะได้จับต้นชนปลายอีกฝ่ายก็ชี้หน้าด่าเธอเสียงดังลั่น ว่าแม่ของเธอทำให้พ่อของอีกฝ่ายตาย ทำเอานักเรียนใหม่ที่คิดว่าจะย้ายมาเจอสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเดิมถึงกับแทบปล่อยโฮออกมา เสียงตะโกนด่าทอของพิริยาทำให้เด็กนักเรียนต่างพากันเดินมามุงดู บ้างซุบซิบ บ้างมองเธอเหมือนเป็นตัวประหลาด บ้างส่งสายตารังเกียจมาให้

ด้วยความที่ลูกของพ่ออีกคนอย่างพิริยาเป็นสาวป็อปประจำโรงเรียนทำให้ทุกคนต่างให้ความสนใจ บางคนตัดสินว่าแม่ของเธอผิดก็ถึงกับด่ากราด และพากันรุมประณามต่างๆ นานา ซึ่งถ้อยคำเหล่านั้นล้วนกระแทกใจคนที่ยังเจ็บปวดกับการสูญเสียอันแสนสะเทือนใจไม่สร่างซา ทั้งที่การตายของพ่อกับแม่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากเธอ และมันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่ทุกคนก็มองเธออย่างรังเกียจ ไม่อยากเข้าใกล้

เธออยากจะบอกให้ตัวเองเข้มแข็ง บอกตัวเองให้กล้าที่จะตะโกนใส่หน้าทุกคนว่าอย่ามายุ่งเรื่องส่วนตัวของเธอ แค่พ่อกับแม่เธอจากไปในเวลาเดียวกันมันก็เจ็บปวดและหนักหนาสาหัสมากพอแล้ว ทำไมทุกคนต้องเอาเรื่องการตายของพวกท่านมาซ้ำเติมให้แผลในใจเธอกลัดหนองไปมากกว่าเดิม ทำไมทุกคนถึงได้ใจร้ายกับเธอนัก อยากจะไล่ตะเพิดทุกคนไปให้ไกลๆ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิด เพราะการถูกรุมพร้อมกันหลายๆ คนทำให้คิริมายืนนิ่งเหมือนช็อกและหาทางออกไม่เจอ ริมฝีปากสั่นระริกเม้มเข้าหากัน มือทั้งสองข้างกำเป็นหมัดจนเส้นเลือดบริเวณหลังมือปูดโปน น้ำตาคลอเบ้า ส่วนหูก็ได้ยินเสียงประณามอันเลวร้ายไม่หยุดหย่อน

“แม่ของยัยนั่นเป็นคนประเภทไหนถึงได้ฆ่าพ่อของพิมมี่ ตัวเองแย่งพ่อไปจากแม่พิมมี่ แล้วฆ่าเขาตายเนี่ยนะ คนอะไรประสาทจริงๆ ตายคนเดียวไม่พอยังลากคนอื่นไปตายด้วย”

“ก็คงเลือดเย็นทั้งแม่และลูกนั่นแหละ เพราะยัยจืดนั่นก็อยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ร้องไห้ซักแอะ”

“เห็นคนแทงกันตายต่อหน้าต่อตาแล้วไม่รู้สึกอะไรเนี่ยนะ คนอะไรเลือดเย็นจนน่าขนลุก”

“นั่นสิ ไม่รู้ที่ย้ายมาเนี่ยเพราะนางไปแทงใครตายมาหรือเปล่า”

“ทางที่ดีอย่าไปเข้าใกล้เลยคนแบบนั้น”

น้ำคำบาดหัวใจยังคงดังอื้ออึงอยู่ในหู หัวใจดวงน้อยถูกรุมกระหน่ำซ้ำเติมจากคนที่ตัดสินคนอื่นแค่ภายนอกทั้งที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเลย คำพูดทำนองว่าแม่ของเธอคือคนที่แย่งพ่อมาจากแม่ของพิริยา ทั้งที่แม่ของเธอคือเมียหลวง ส่วนแม่ของพิริยาคือเมียน้อย คือคนที่เข้ามาแทรกกลางทำให้ครอบครัวเธอร้าวฉาน

ซึ่งถ้อยคำประณามแม่ที่ไร้ซึ่งความเป็นจริงนั้นก็ทำให้คิริมาเกือบทนไม่ไหวเพราะรับไม่ได้ แต่จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนความเจ็บปวดเอาไว้ อยากจะหนีไปจากตรงนั้นแต่ขาเจ้ากรรมกลับก้าวไม่ออก เธอคิดผิดอย่างมหันต์ที่ย้ายมาเรียนที่นี่ ปัญหาเดิมตามมาหลอกหลอนทำให้คิริมายืนตัวแข็งทื่ออยู่ท่ามกลางวงล้อมของพิริยากับเพื่อน และเธอคงจะโดนอีกฝ่ายเล่นงานจนเผลอแสดงความอ่อนแอออกมา หากเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวที่ใครต่อใครต่างเรียกว่าอีตุ๊ดยักษ์ไม่เดินฝ่าวงล้อมเข้ามาปกป้อง และด่ากราดจนทุกคนแตกกระเจิง

ตั้งแต่นั้นมาคิริมาก็รู้ซึ้งว่าการย้ายโรงเรียนไม่ได้ช่วยอะไรเลย มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกจุด เรื่องที่พ่อกับแม่ของเธอแทงกันตายต่อหน้ากลายเป็นประเด็นซุบซิบนินทาไปทั่วทั้งโรงเรียน และนั่นก็ทำให้สังคมของเธอแคบลงเรื่อยๆ จนน่าใจหาย แค่พ่อกับแม่ของเธอฆ่ากันตายต่อหน้าสังคมก็ไม่มีที่ยืนสำหรับผู้สูญเสียเช่นเธออย่างนั้นหรือ แค่เธอไม่ร้องไห้ฟูมฟายให้ใครเห็นทุกคนก็ตัดสินว่าเธอเป็นคนเลือดเย็นไร้หัวใจอย่างนั้นหรือ เธอทำผิดอะไร หรือว่าเธอควรตายๆ ไปเสียดีไหม นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น แต่จิตใต้สำนึกส่วนดีจะคอยย้ำเตือนว่า เธอจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ชีวิตเธอยังคงต้องก้าวต่อไป ถึงแม้ไร้พ่อและแม่เธอก็ต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง

ทุกครั้งที่โดนพิริยาตามก่อกวนคิริมาจะพยายามนิ่งเฉย ทำเป็นหูทวนลม หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็จะตอบโต้ไปบ้างด้วยคำพูดในแบบผู้ใหญ่เกินตัว เธอไม่นิยมใช้ความรุนแรงหรือตบตีในแบบที่นักเรียนหญิงชอบทำกัน เพราะไม่อยากมีปัญหาจนถูกฝ่ายปกครองเรียกไปพบ อีกทั้งไม่อยากถูกอาจารย์เพ่งเล็งว่าเพิ่งย้ายมาใหม่ก็ก่อเรื่องทะเลาะวิวาท เลยเลือกที่จะเงียบเข้าไว้ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้อีกฝ่ายเจ็บใจและนึกหมั่นไส้ที่เธอทำเหมือนคนไร้ความรู้สึก จึงตามราวีไม่เลิก และวันนี้ก็คงเป็นอีกวันแห่งความซวยของเธอเพราะศุภชัยดันลาป่วยเสียนี่

อยู่ๆ หัวหน้าห้องและเพื่อนซี้ก็เดินมานั่งลงที่ม้านั่งในฝั่งตรงกันข้ามกับเธอ คิริมาทำเพียงเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เพราะสองสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่เคยพูดกับเธอตั้งแต่เธอย้ายมาเรียนที่นี่ ก่อนจะเริ่มรู้ถึงจุดประสงค์ของการมาของทั้งคู่ เมื่อเห็นเพื่อนร่วมห้องที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบขี้หน้าเธอหันไปมองตากัน แล้วยิ้มตรงมุมปาก ก่อนที่เธอจะนิ่งงันในเสี้ยววินาทีที่หัวหน้าห้องเอ่ยน้ำคำอันแสนกระแทกใจออกมา

“นี่ครีม วันแม่ที่จะถึงแม่เธอจะมาหรือเปล่า”

“เอ่อ…” ยังไม่ทันที่คนโดนสะกิดแผลใจจะได้ขยับริมฝีปากหนักอึ้งตอบโต้ เสียงแหลมเล็กฟังดูน่ารำคาญของผู้ที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหลังก็ดังแทรกขึ้น

“ใบเตยลืมไปเเล้วหรือไง ว่ายัยเนี่ยไม่มีแม่” ผู้มาใหม่ซึ่งเป็นคนเคยสอบได้คะแนนสูงสุดของห้องแต่ต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่คิริมาในกลางภาคจ้องใบหน้าซีดเซียวอย่างเยาะหยัน

บทก่อนหน้า
บทถัดไป